บันทึกการเรียนรู้ในชั้นเรียน
ในวันที่
4 กรกฏาคม พ.ศ. 2556 ได้เข้าเรียนวิชาการพัฒนาหลักสูตร เป็นคาบที่5อาจารย์วัยวุฒ อินทวงศ์
ให้นักศึกษาออกไปนำเสนองานที่ได้รับมอบหมายในคาบก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเรื่องสังคมและวัฒนธรรม
ปรัชญาการศึกษา การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ จิตวิทยา และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอาจารย์ได้ให้นักศึกษาคิดแบบฟอร์มสำรวจข้อมูลพื้นฐาน
ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งสามารถจำแนกข้อมูลได้ดังนี้
1.1 โครงสร้างทางสังคม
โครงสร้างสังคมไทยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
-ลักษณะสังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรม
-สังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม
1.2 ค่านิยมในสังคม
ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้นๆดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษาค่านิยมต่างๆในสังคมไทย หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรที่จะศึกษาและเลือกค่านิยมที่ดีและสอดแทรกไว้ในหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ดีในสังคมไทย
1.3 ธรรมชาติของคนในสังคม
การพัฒนาหลักสูตรควรคำนึงถึงลักษณะธรรมชาติ บุคลิกภาพของคนในสังคม โดยศึกษาพิจารณาว่าลักษณะใดควรจะคงไว้ลักษณะใดควรจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ พึงประสงค์ของสภาพสังคมปัจจุบัน เพื่อที่จะจัดการศึกษาในอันที่จะสร้างบุคลิกลักษณะของคนในสังคมตามที่สังคมต้องการ เพราะหลักสูตรเป็นแนวทางในการสร้างลักษณะสังคมในอนาคต
1.4 การชี้นำสังคมในอนาคต
การศึกษาควรมีบทบาทในการชี้นำสังคมในอนาคตด้วยเพราะในอดีตที่ผ่านมาระบบการศึกษา และระบบพัฒนาหลักสูตรของไทยเป็นลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
1.5 ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพในการดำรงชีวิต จรรโลงสภาพสังคมในอนาคตให้ดีขึ้นลักษะประชากรที่มีคุณภาพดีมีดังนี้
- มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตดี
- มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทำประโยชน์แก่ครอบครัว
- เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
- มีสติปัญญา หมั่นเสริมสร้างความรู้ความคิดอยู่เสมอ
- มีนิสัยรักการทำงาน ขยัน อดทน ประหยัด ซื่อสัตย์ภักดี
- มีมนุษยสัมพันธ์ และมีมนุษยธรรม
การจัดการศึกษาจำเป็นต้องวางแผนและดำเนินการเชิงรุก โดยการให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ แนวโน้มอนาคตทางด้านการศึกษา เพื่อให้การจัดการศึกษาในประเทศให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลง รวมถึงใช้ประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม
ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม เพราะฉะนั้นสิ่งที่บรรจุไว้ในหลักสูตรควรเป็นหลักธรรมในศาสนาต่างๆและควรเปรียบเทียบหลักธรรมของศาสนาเหล่านั้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบว่าทุกศาสนามีเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน คือสอนให้คนเป็นคนดีเพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคม
สรุป การพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้เรียนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน สิ่งที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญคือ การศึกษาแนวโน้ม ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง การศึกษา ดังนั้นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นต้องมุ่งเน้นพัฒนาทักษะการคิด และทักษะชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต อาชีพ วัฒนธรรมสภาพแวดล้อมและทรัพยากรชุมชน ตลอดถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย วิถีไทย ให้ผู้เรียน มีความรู้ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดำรงตนภายใต้ความพอเพียง และมีทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ปรัชญาการศึกษา
1. ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) มาจากปรัชญาพื้นฐาน 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายจิตนิยมและวัตถุนิยม
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร ยึดเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ
2) ครู เป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมากการศึกษาจะต้องมาจากครูเท่านั้น
3) ผู้เรียนหรือนักเรียนตามปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม จะต้องเป็นผู้สืบทอดค่านิยมไว้และถ่ายทอดไปยังคนรุ่นหลัง
4) โรงเรียน มีบทบทในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสังคม
5) กระบวนการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับครูเป็นสำคัญ
2. ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism)มีรากฐานมาจากปรัชญา จิตนิยมและปรัชญาวัตถุนิยม ปรัชญาการศึกษาลัทธินี้แบ่งออกเป็น 2 ทัศนะ คือ ทัศนะในเรื่องเหตุผลและสติปัญญา และทัศนะเรื่องศาสนา
จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญาการศึกษาลัทธินี้มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์เพราะมนุษย์มีพลังธรรมชาติอยู่ในตัว พลังในที่นี้คือสติปัญญา จะต้องพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร กำหนดโดยผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ เป็นหลักสูตรที่เน้นวิชาทางศิลปะศาสตร์ (Liberal arts)
2) ครู ปรัชญาการศึกษานี้มีความเชื่อว่าเด็กเป็นผู้มีเหตุผลและมีชีวิตมีวิญญาณ
3) ผู้เรียน โดยมุ่งพัฒนาเป็นรายบุคคล
4) โรงเรียน ไม่มีบทบาทต่อสังคมโดยตรง เพราะเน้นที่ตัวบุคคลเป็นหลัก
5) กระบวนการเรียนการสอน ใช้วิธีท่องจำเนื้อหาวิชาต่าง ๆ และฝึกให้ใช้ความคิดหาเหตุผล
3. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progessivism) ปรัชญานี้เน้นกระบวนการ โดยเฉพาะกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เมื่อนำมาใช้กับการศึกษา แนวทางของการศึกษาจึงต้องพยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและภาวะแวดล้อมอยู่เสมอการศึกษาจะไม่สอนให้คนยึดมั่นในความจริง ความรู้ และค่านิยมที่คงที่ หรือสิ่งที่กำหนดไว้ตายตัว ต้องหาทางปรับปรุงการศึกษาอยู่เสมอ เพื่อนำไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ ๆ
จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ตายตัว เพราะชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกวัตถุประสงค์ของการศึกษาก็เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแนวทางในการแก้ปัญหา
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร ครอบคลุมชีวิตประจำวันทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
2) ครู ไม่เป็นผู้ออกคำสั่ง แต่ทำหน้าที่ในการแนะแนวทางให้แก่ผู้เรียนแล้วจัดประสบการณ์ที่ดีที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน
3) นักเรียน ปรัชญานี้ให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนโดยเน้นให้ลงมือกระทำด้วยตนเอง (Learning by
doing)
4) โรงเรียน ทำหน้าที่เป็นแบบจำลองสังคม
5) กระบวนการเรียนการสอน เป็นการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child centered)
4.ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) มีความเชื่อว่า ความรู้ ความจริง เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความรู้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมเน้นความสำคัญของการพัฒนาผู้เรียน
องค์ประกอบของการศึกษา
1.หลักสูตร เนื้อหาวิชาที่นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร จะเกี่ยวกับปัญหาและสภาพของสังคม
2. ครูทำหน้าที่รวบรวม สรุป วิเคราะห์ปัญหาของสังคมแล้วเสนอแนวทางให้ผู้เรียนแก้ปัญหาของสังคม
3. ผู้เรียน ปรัชญานี้เชื่อว่า ผู้เรียนคือผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาสังคม
4.โรงเรียน ตามปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมโรงเรียนจะมีบทบาทต่อ
5. กระบวนการเรียนการสอน มีลักษณะคล้ายกับปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม
ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งสามารถจำแนกข้อมูลได้ดังนี้
1.1 โครงสร้างทางสังคม
โครงสร้างสังคมไทยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
-ลักษณะสังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรม
-สังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม
1.2 ค่านิยมในสังคม
ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้นๆดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษาค่านิยมต่างๆในสังคมไทย หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรที่จะศึกษาและเลือกค่านิยมที่ดีและสอดแทรกไว้ในหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ดีในสังคมไทย
1.3 ธรรมชาติของคนในสังคม
การพัฒนาหลักสูตรควรคำนึงถึงลักษณะธรรมชาติ บุคลิกภาพของคนในสังคม โดยศึกษาพิจารณาว่าลักษณะใดควรจะคงไว้ลักษณะใดควรจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ พึงประสงค์ของสภาพสังคมปัจจุบัน เพื่อที่จะจัดการศึกษาในอันที่จะสร้างบุคลิกลักษณะของคนในสังคมตามที่สังคมต้องการ เพราะหลักสูตรเป็นแนวทางในการสร้างลักษณะสังคมในอนาคต
1.4 การชี้นำสังคมในอนาคต
การศึกษาควรมีบทบาทในการชี้นำสังคมในอนาคตด้วยเพราะในอดีตที่ผ่านมาระบบการศึกษา และระบบพัฒนาหลักสูตรของไทยเป็นลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
1.5 ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพในการดำรงชีวิต จรรโลงสภาพสังคมในอนาคตให้ดีขึ้นลักษะประชากรที่มีคุณภาพดีมีดังนี้
- มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตดี
- มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทำประโยชน์แก่ครอบครัว
- เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
- มีสติปัญญา หมั่นเสริมสร้างความรู้ความคิดอยู่เสมอ
- มีนิสัยรักการทำงาน ขยัน อดทน ประหยัด ซื่อสัตย์ภักดี
- มีมนุษยสัมพันธ์ และมีมนุษยธรรม
การจัดการศึกษาจำเป็นต้องวางแผนและดำเนินการเชิงรุก โดยการให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ แนวโน้มอนาคตทางด้านการศึกษา เพื่อให้การจัดการศึกษาในประเทศให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลง รวมถึงใช้ประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม
ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม เพราะฉะนั้นสิ่งที่บรรจุไว้ในหลักสูตรควรเป็นหลักธรรมในศาสนาต่างๆและควรเปรียบเทียบหลักธรรมของศาสนาเหล่านั้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบว่าทุกศาสนามีเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน คือสอนให้คนเป็นคนดีเพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคม
สรุป การพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้เรียนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน สิ่งที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญคือ การศึกษาแนวโน้ม ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง การศึกษา ดังนั้นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นต้องมุ่งเน้นพัฒนาทักษะการคิด และทักษะชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต อาชีพ วัฒนธรรมสภาพแวดล้อมและทรัพยากรชุมชน ตลอดถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย วิถีไทย ให้ผู้เรียน มีความรู้ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดำรงตนภายใต้ความพอเพียง และมีทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ปรัชญาการศึกษา
1. ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) มาจากปรัชญาพื้นฐาน 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายจิตนิยมและวัตถุนิยม
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร ยึดเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ
2) ครู เป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมากการศึกษาจะต้องมาจากครูเท่านั้น
3) ผู้เรียนหรือนักเรียนตามปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม จะต้องเป็นผู้สืบทอดค่านิยมไว้และถ่ายทอดไปยังคนรุ่นหลัง
4) โรงเรียน มีบทบทในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสังคม
5) กระบวนการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับครูเป็นสำคัญ
2. ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism)มีรากฐานมาจากปรัชญา จิตนิยมและปรัชญาวัตถุนิยม ปรัชญาการศึกษาลัทธินี้แบ่งออกเป็น 2 ทัศนะ คือ ทัศนะในเรื่องเหตุผลและสติปัญญา และทัศนะเรื่องศาสนา
จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญาการศึกษาลัทธินี้มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์เพราะมนุษย์มีพลังธรรมชาติอยู่ในตัว พลังในที่นี้คือสติปัญญา จะต้องพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร กำหนดโดยผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ เป็นหลักสูตรที่เน้นวิชาทางศิลปะศาสตร์ (Liberal arts)
2) ครู ปรัชญาการศึกษานี้มีความเชื่อว่าเด็กเป็นผู้มีเหตุผลและมีชีวิตมีวิญญาณ
3) ผู้เรียน โดยมุ่งพัฒนาเป็นรายบุคคล
4) โรงเรียน ไม่มีบทบาทต่อสังคมโดยตรง เพราะเน้นที่ตัวบุคคลเป็นหลัก
5) กระบวนการเรียนการสอน ใช้วิธีท่องจำเนื้อหาวิชาต่าง ๆ และฝึกให้ใช้ความคิดหาเหตุผล
3. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progessivism) ปรัชญานี้เน้นกระบวนการ โดยเฉพาะกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เมื่อนำมาใช้กับการศึกษา แนวทางของการศึกษาจึงต้องพยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและภาวะแวดล้อมอยู่เสมอการศึกษาจะไม่สอนให้คนยึดมั่นในความจริง ความรู้ และค่านิยมที่คงที่ หรือสิ่งที่กำหนดไว้ตายตัว ต้องหาทางปรับปรุงการศึกษาอยู่เสมอ เพื่อนำไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ ๆ
จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ตายตัว เพราะชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกวัตถุประสงค์ของการศึกษาก็เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแนวทางในการแก้ปัญหา
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร ครอบคลุมชีวิตประจำวันทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
2) ครู ไม่เป็นผู้ออกคำสั่ง แต่ทำหน้าที่ในการแนะแนวทางให้แก่ผู้เรียนแล้วจัดประสบการณ์ที่ดีที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน
3) นักเรียน ปรัชญานี้ให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนโดยเน้นให้ลงมือกระทำด้วยตนเอง (Learning by
doing)
4) โรงเรียน ทำหน้าที่เป็นแบบจำลองสังคม
5) กระบวนการเรียนการสอน เป็นการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child centered)
4.ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) มีความเชื่อว่า ความรู้ ความจริง เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความรู้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมเน้นความสำคัญของการพัฒนาผู้เรียน
องค์ประกอบของการศึกษา
1.หลักสูตร เนื้อหาวิชาที่นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร จะเกี่ยวกับปัญหาและสภาพของสังคม
2. ครูทำหน้าที่รวบรวม สรุป วิเคราะห์ปัญหาของสังคมแล้วเสนอแนวทางให้ผู้เรียนแก้ปัญหาของสังคม
3. ผู้เรียน ปรัชญานี้เชื่อว่า ผู้เรียนคือผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาสังคม
4.โรงเรียน ตามปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมโรงเรียนจะมีบทบาทต่อ
5. กระบวนการเรียนการสอน มีลักษณะคล้ายกับปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม
สังคมโดยตรง โดยมีส่วนในการรับรู้ปัญหาของสังคม
5. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) มีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่จริงของมนุษย์ มนุษย์จะต้องเข้าใจและรู้จักตนเอง มนุษย์ทุกคนมีความสำคัญและมีลักษณะเด่นเฉพาะตนเอง
จุดมุ่งหมายของการศึกษา การศึกษาจะต้องทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตนเอง ว่ามีความต้องการอย่างไร แล้วพัฒนาตนเองไปตามความต้องการอย่างอิสระ เพื่อจะได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ของตนเองได้อย่างเต็มที่ด้วยการเลือกเรียนได้ตามความพอใจ และมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร ไม่กำหนดตายตัว แต่ต้องเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น เนื้อหาของหลักสูตรจะเน้นทางสาขามนุษยศาสตร์ (Humanities)
2) ครู มีบทบาทคล้ายกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ทำหน้าที่คอยกระตุ้นหรือเร้าให้ผู้เรียนตื่นตัว
3) ผู้เรียน ให้ความสำคัญกับผู้เรียนมากที่สุด ให้ผู้เรียนรู้จักตนเองและเข้าใจตนเอง
4) โรงเรียน ต้องสร้างบรรยากาศแห่งเสรีภาพทั้งในและนอกห้องเรียน
5) กระบวนการเรียนการสอน เน้นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ให้ผู้เรียนพบความเป็นจริงด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกเรียนด้วยตนเอง กระบวนการเรียนการสอนจะเน้นการมีส่วนร่วมเป็นหลักสำคัญในการเรียนรู้
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรด้านการเมือง การปกครอง5. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) มีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่จริงของมนุษย์ มนุษย์จะต้องเข้าใจและรู้จักตนเอง มนุษย์ทุกคนมีความสำคัญและมีลักษณะเด่นเฉพาะตนเอง
จุดมุ่งหมายของการศึกษา การศึกษาจะต้องทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตนเอง ว่ามีความต้องการอย่างไร แล้วพัฒนาตนเองไปตามความต้องการอย่างอิสระ เพื่อจะได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ของตนเองได้อย่างเต็มที่ด้วยการเลือกเรียนได้ตามความพอใจ และมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร ไม่กำหนดตายตัว แต่ต้องเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น เนื้อหาของหลักสูตรจะเน้นทางสาขามนุษยศาสตร์ (Humanities)
2) ครู มีบทบาทคล้ายกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ทำหน้าที่คอยกระตุ้นหรือเร้าให้ผู้เรียนตื่นตัว
3) ผู้เรียน ให้ความสำคัญกับผู้เรียนมากที่สุด ให้ผู้เรียนรู้จักตนเองและเข้าใจตนเอง
4) โรงเรียน ต้องสร้างบรรยากาศแห่งเสรีภาพทั้งในและนอกห้องเรียน
5) กระบวนการเรียนการสอน เน้นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ให้ผู้เรียนพบความเป็นจริงด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกเรียนด้วยตนเอง กระบวนการเรียนการสอนจะเน้นการมีส่วนร่วมเป็นหลักสำคัญในการเรียนรู้
มโนทัศน์สำคัญ
ข้อมูลพื้นฐานเป็นข้อมูลในด้านต่างๆที่จำเป็น
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษาวิเคราะห์และใช้ประกอบการพิจารณาในการสร้างหรือจัดทำหลักสูตรในทุกองค์ประกอบของหลักสูตร อันได้แก่ ข้อมูลทางสังคม
วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง
การศึกษาข้อมูลพื้นฐานเป็นขั้นตอนแรกสุดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ผลจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวจะนำไปใช้ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนต่างๆ
ตั้งแต่กระบวนการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระบวนการกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนและกระบวนการประเมินผล เพื่อให้ได้หลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและสังคม เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรระดับต่างๆในอนาคตจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่างๆจากหลายๆแห่งและจากบุคคลหลายๆฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงมาพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดีให้แก่สังคม หลักสูตรจึงควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่ควรจะนำมาเป็นพื้นฐานประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ ระบบการเมือง และระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ และรากฐานของประชาธิปไตย ฯลฯ เป็นต้น
นโยบายของรัฐ
การศึกษาข้อมูลพื้นฐานเป็นขั้นตอนแรกสุดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ผลจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวจะนำไปใช้ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนต่างๆ
ตั้งแต่กระบวนการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระบวนการกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนและกระบวนการประเมินผล เพื่อให้ได้หลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและสังคม เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรระดับต่างๆในอนาคตจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่างๆจากหลายๆแห่งและจากบุคคลหลายๆฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงมาพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดีให้แก่สังคม หลักสูตรจึงควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่ควรจะนำมาเป็นพื้นฐานประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ ระบบการเมือง และระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ และรากฐานของประชาธิปไตย ฯลฯ เป็นต้น
นโยบายของรัฐ
เนื่องจากการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมจึงมีความจำเป็นต้องสอดคล้องกับระบบอื่นๆ
ในสังคม นโยบายของรัฐที่เห็นได้ชัด คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
แผนพัฒนาการศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรควรจะได้พิจารณานโยบายของรัฐด้วย
เพื่อที่จะได้จัดการศึกษาให้สอดคล้องกัน
รากฐานของประชาธิปไตย
จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475
หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาคนควรที่จะได้วางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอันถูกต้อง
กล่าวโดยสรุปคือสามารถใช้หลัดสูตรเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมใหม่ในทิศทางที่ถูกต้องได้ การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ สำรวจ วิจัย สภาพพื้นฐานด้านต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้สนับสนุน อ้างอิงในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆเพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทัศนะคติที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้
การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic development)
Economic Development และ Economic Growth แตกต่างกันอย่างไร?
รากฐานของประชาธิปไตย
จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475
หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาคนควรที่จะได้วางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอันถูกต้อง
กล่าวโดยสรุปคือสามารถใช้หลัดสูตรเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมใหม่ในทิศทางที่ถูกต้องได้ การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ สำรวจ วิจัย สภาพพื้นฐานด้านต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้สนับสนุน อ้างอิงในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆเพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทัศนะคติที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้
การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic development)
Economic Development และ Economic Growth แตกต่างกันอย่างไร?
¢ Economic Development คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม
¢ Economic Growth คือ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเท่านั้น
ดังนั้น *** การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจความหมาย
การทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ
ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
กระบวนการที่ทำให้รายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคล (Real Per Capita Income) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการกระจายรายได้เป็นธรรม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
การเพิ่มขึ้นของผลผลิต/รายได้ต่อบุคคลที่แท้จริง
เครื่องบ่งชี้ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ
การทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ
ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
กระบวนการที่ทำให้รายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคล (Real Per Capita Income) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการกระจายรายได้เป็นธรรม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
การเพิ่มขึ้นของผลผลิต/รายได้ต่อบุคคลที่แท้จริง
เครื่องบ่งชี้ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ
•
การเพิ่มขึ้นของรายได้ประชาชาติที่แท้จริงต่อบุคคล
•
อัตราค่าจ้างแรงงาน
•
อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชากร
•
อัตราการรู้หนังสือ
•
อัตราการรู้หนังสือ
•
อัตราการเพิ่มของพลเมือง
ลักษณะของประเทศกำลังพัฒนา
•
ประชากรส่วนใหญ่มีมาตรฐานการครองชีพต่ำ
•
มีอัตราการขยายตัวของประชากรสูง
•
ขาดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
•
ขาดแคลนเงินออม
•
สภาพสังคมไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนา
•
ต้องพึ่งพาและถูกครอบงำจากต่างประเทศ
ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนา
•
ทรัพยากรมนุษย์
•
ทรัพยากรธรรมชาติ
•
การสะสมทุน
•
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
กลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจ
•
การเติบโตแบบสมดุล
•
การเติบโตแบบไม่สมดุล
•
ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
•
พัฒนาระหว่างสาขาการผลิต
เป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจ
•
เพื่อทำให้รายได้ประชาชาติสูงขึ้น
•
เพื่อลดอัตราการว่างงาน,เงินเฟ้อ/ฝืด
•
ดุลการชำระเงินสมดุล
•
การกระจายรายได้เป็นธรรม
•
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
เป็นการกำหนดแนวทางการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคม โดยกำหนดออกมาในรูปแบบของเอกสารที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”
จัดทำโดย “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : สศช.” เริ่มจัดทำครั้งแรกเมื่อ พ.ศ 2504
จัดทำโดย “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : สศช.” เริ่มจัดทำครั้งแรกเมื่อ พ.ศ 2504
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)
· เป็นแผนที่อัญเชิญแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางในการพัฒนา
· ยึดหลักทางสายกลางสามารถพึ่งตนเองได้และนำไปสู่การ พัฒนาที่ยั่งยืน
· คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา
แนวความคิดจิตวิทยา
แนวความคิดจิตวิทยา คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ กระบวนความคิด และพฤติกรรม ของมนุษย์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
โครงสร้างของจิตวิทยาประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. ลักษณะเนื้อหาวิชา แบ่งเป็นเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ พัฒนาการของมนุษย์, พันธุกรรม, ระบบการตอบสนอง, การรับรู้, การรู้สึก, แรงจูงใจ, อารมณ์, ภาษา การคิด และการแก้ปัญหา, เชาวน์ปัญญาและการทดสอบเชาวน์ปัญญา, บุคลิกภาพแบบต่าง ๆ และการประเมินบุคลิกภาพ,
2.เป้าหมายของจิตวิทยา เป้าหมายของการศึกษาได้มาจากวิธีการที่แตกต่างกัน 3 ประเภท ได้แก่การวิจัยบริสุทธิ์หรือการวิจัยพื้นฐาน มาจากการค้นคว้าด้วยใจรัก ค้นหาหลักการของพฤติกรรมทั้งของมนุษย์และสัตว์ โดย ไม่ได้คำนึงว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสังคมได้หรือไม่
ความมุ่งหมายและประโยชน์
1.จุดมุ่งหมาย จิตวิทยาการศึกษาเน้นในเรื่องของการเรียนรู้ และการนำไปประยุกต์ในการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายการเรียนรู้อย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายนี้ต้องครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความคิด ด้านอารมณ์ และด้านการปฏิบัติ
2.ด้านการเรียนการสอน ช่วยให้ครูเข้าใจเด็ก สามารถจัดการสอนให้สอดคล้องกับความ ต้องการ สนใจความถนัดเชาวน์ปัญญาของเด็ก
3.ด้านสังคม ช่วยให้ครู นักเรียน เข้าใจตนและผู้อื่น ปรับปรุงพฤติกรรมตนเอง
4.ปกครองและการแนะแนว ให้ครูเข้าใจเด็กมากขึ้น อบรมแนะนำ ควบคุมดูแลในเด็กอยู่ในระเบียบ เสริมสร้างบุคลิกภาพ ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
ผลการเรียนรู้ของจอห์น ดิวอี้
การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ในแบบ Learning by doing ผู้เรียนจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ แนวคิดนี้จะจัดการสอนแบบโครงการเป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนจากการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง
โครงสร้างของจิตวิทยาประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. ลักษณะเนื้อหาวิชา แบ่งเป็นเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ พัฒนาการของมนุษย์, พันธุกรรม, ระบบการตอบสนอง, การรับรู้, การรู้สึก, แรงจูงใจ, อารมณ์, ภาษา การคิด และการแก้ปัญหา, เชาวน์ปัญญาและการทดสอบเชาวน์ปัญญา, บุคลิกภาพแบบต่าง ๆ และการประเมินบุคลิกภาพ,
2.เป้าหมายของจิตวิทยา เป้าหมายของการศึกษาได้มาจากวิธีการที่แตกต่างกัน 3 ประเภท ได้แก่การวิจัยบริสุทธิ์หรือการวิจัยพื้นฐาน มาจากการค้นคว้าด้วยใจรัก ค้นหาหลักการของพฤติกรรมทั้งของมนุษย์และสัตว์ โดย ไม่ได้คำนึงว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสังคมได้หรือไม่
ความมุ่งหมายและประโยชน์
1.จุดมุ่งหมาย จิตวิทยาการศึกษาเน้นในเรื่องของการเรียนรู้ และการนำไปประยุกต์ในการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายการเรียนรู้อย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายนี้ต้องครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความคิด ด้านอารมณ์ และด้านการปฏิบัติ
2.ด้านการเรียนการสอน ช่วยให้ครูเข้าใจเด็ก สามารถจัดการสอนให้สอดคล้องกับความ ต้องการ สนใจความถนัดเชาวน์ปัญญาของเด็ก
3.ด้านสังคม ช่วยให้ครู นักเรียน เข้าใจตนและผู้อื่น ปรับปรุงพฤติกรรมตนเอง
4.ปกครองและการแนะแนว ให้ครูเข้าใจเด็กมากขึ้น อบรมแนะนำ ควบคุมดูแลในเด็กอยู่ในระเบียบ เสริมสร้างบุคลิกภาพ ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
ผลการเรียนรู้ของจอห์น ดิวอี้
การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ในแบบ Learning by doing ผู้เรียนจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ แนวคิดนี้จะจัดการสอนแบบโครงการเป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนจากการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง
ผลการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีประสบการณ์ของจอห์น
ดิวอี้
1.
ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย
และสื่อที่เร้าความสนใจ
2.
ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ
ตามความถนัดและศักยภาพด้วยการศึกษา
3.
กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์
เกิดกระบวนการทำงาน เช่น มีการวางแผนการทำงาน มีความรับผิดชอบ
4.
ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดจากการร่วมกิจกรรมและการค้นหาคำตอบจากประเด็นคำถามของผู้สอนและเพื่อน
ๆ
5.
ทุกขั้นตอนการจัดกิจกรรม
จะสอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม
เพื่อให้ผู้เรียนได้ซึมซับสิ่งที่ดีงามไว้ในตนเองอยู่ตลอดเวลา
6.
คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน
โดยให้แต่ละคนเรียนรู้เต็มตามศักยภาพของตน
มุ่งให้ผู้เรียนแข่งขันกับตนเองและไม่เล็งผลเลิศจนเกินไป
ผลการเรียนรู้ของวิลเลียม เจมส์
1. มีกระบวนการพิสูจน์
ความจริง พิสูจน์ให้เห็นจริง สามารถอธิบายได้ และก่อให้เกิดผลหรือ
ประโยชน์ในประสบการณ์ของเรา
2. มีกระบวนการนำทาง ความคิดที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์แล้ว จะต้องสามารถเชื่อมโยงไปอธิบายเรื่องอื่นได้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
กระดานอัจฉริยะกระดานอัจฉริยะนั้นเปรียบเสมือนจอรับภาพขนาดใหญ่ซึ่งสามารถที่จะสัมผัสได้โดยตรงที่ตัวกระดานอัจฉริยะได้เลยนั้นเอง การทำงานจะคล้าย ๆ กับโทรศัพท์ระบบสัมผัส (I-phone) ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ากระดานอัจฉริยะนั้นได้มีการนำเข้ามาใช้งานกันอย่างแพร่หลายแล้ว ใช้ปากกาเฉพาะในการเขียนหรือสัมผัส สามารถเขียนได้พร้อมกันมากกว่า 2 คน มีซอฟแวร์สื่อการเรียนการสอน พร้อมซอฟแวร์กระดาน มีโปรแกรมช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนมากมาย เช่น สร้างหน้ากระดาษขาว, ปากกาเขียนรูปแบบต่างๆ,คลังภาพเคลื่อนไหว, บันทึกวีดีโอ
เทคโนโลยีก่อประโยชน์แก่ระบบการศึกษามากขึ้น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษาสามารถเร่งอัตราการเรียนรู้ให้เร็วขึ้น ลดภาระทางด้านการบริหารของครูและยังทำหน้าที่แทนครูในการถ่ายทอดเรื่องราวหรือข่าวสารประจำวันต่าง ๆ
เทคโนโลยีทำให้การสอนมีพลังยิ่งขึ้น ระบบการสื่อสารในปัจจุบันได้ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับคนเรา ดังนั้นสื่อการสอนในยุคใหม่นี้จึงสามารถจำลองสถานการณ์จริง ช่วยร่นระยะทางและเหตุการณ์ที่อยู่คนซีกโลกมาสู่นักเรียนได้
เทคโนโลยีสามารถทำให้เกิดความเสมอภาคของการศึกษามากขึ้น ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้ทุกหนแห่ง เทคโนโลยีพร้อมที่จะหยิบยื่นความรู้ให้แก่ทุกคนเสมอ
2. มีกระบวนการนำทาง ความคิดที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์แล้ว จะต้องสามารถเชื่อมโยงไปอธิบายเรื่องอื่นได้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
กระดานอัจฉริยะกระดานอัจฉริยะนั้นเปรียบเสมือนจอรับภาพขนาดใหญ่ซึ่งสามารถที่จะสัมผัสได้โดยตรงที่ตัวกระดานอัจฉริยะได้เลยนั้นเอง การทำงานจะคล้าย ๆ กับโทรศัพท์ระบบสัมผัส (I-phone) ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ากระดานอัจฉริยะนั้นได้มีการนำเข้ามาใช้งานกันอย่างแพร่หลายแล้ว ใช้ปากกาเฉพาะในการเขียนหรือสัมผัส สามารถเขียนได้พร้อมกันมากกว่า 2 คน มีซอฟแวร์สื่อการเรียนการสอน พร้อมซอฟแวร์กระดาน มีโปรแกรมช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนมากมาย เช่น สร้างหน้ากระดาษขาว, ปากกาเขียนรูปแบบต่างๆ,คลังภาพเคลื่อนไหว, บันทึกวีดีโอ
เทคโนโลยีก่อประโยชน์แก่ระบบการศึกษามากขึ้น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษาสามารถเร่งอัตราการเรียนรู้ให้เร็วขึ้น ลดภาระทางด้านการบริหารของครูและยังทำหน้าที่แทนครูในการถ่ายทอดเรื่องราวหรือข่าวสารประจำวันต่าง ๆ
เทคโนโลยีทำให้การสอนมีพลังยิ่งขึ้น ระบบการสื่อสารในปัจจุบันได้ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับคนเรา ดังนั้นสื่อการสอนในยุคใหม่นี้จึงสามารถจำลองสถานการณ์จริง ช่วยร่นระยะทางและเหตุการณ์ที่อยู่คนซีกโลกมาสู่นักเรียนได้
เทคโนโลยีสามารถทำให้เกิดความเสมอภาคของการศึกษามากขึ้น ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้ทุกหนแห่ง เทคโนโลยีพร้อมที่จะหยิบยื่นความรู้ให้แก่ทุกคนเสมอ
ด้าน
|
รายการ
|
วิธีการ
|
เครื่องมือ
|
แหล่งข้อมูล
|
เศรษฐกิจ
|
รายได้
|
สืบค้น
|
แบบบันทึก
|
อบต.
ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
|
ภาษีที่ดิน
|
สืบค้น
|
แบบบันทึก
|
อบต.
|
|
รายจ่าย
|
สอบถาม
|
แบบสอบถาม
|
ประชากรในชุมชน
|
|
อาชีพ
|
สำรวจ
|
แบบสำรวจ
|
ประชากรในชุมชน
อบต.
|
|
ภาวะหนี้สิน
|
สืบค้น
|
แบบบันทึก
|
อบต.
|
|
ปัญหาทางเศรษฐกิจ
|
สัมภาษณ์
|
สัมภาษณ์
|
ตัวแทนชุมชน
|
วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2556 ได้ไปศึกษาเกี่ยวกับการวางแผนที่จะพัฒนาหลักสูตร
ที่แต่ละกลุ่มได้เตรียมพร้อมที่จะคิดค้นพัฒนาหลักสูตรของตัวเองซึ่งอาทิตย์นี้ได้ไปเตรียมเกี่ยวกับการวางแผนการพัฒนาหลักสูตร
สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ในการทางานอย่างเป็นระบบ
สามารถที่จะตรวจสอบความก้าวหน้าข้อผิดพลาด และอุปสรรคต่าง ๆ ในการทางาน ก็คือ แผนการดาเนินงาน
การกำหนดแผนที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงข้อจากัดและความเป็นไปได้ จะช่วยให้ผู้พัฒนาทราบถึงทิศทาง
เวลา และแหล่งข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การทางานมีโอกาสบรรลุผลตามเจตนารมณ์เพิ่มมากขึ้น
การทางานแทบจะทุกอย่างต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็น
กล่าวคือ จะต้องเริ่มด้วย
(1) บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการพัฒนาหลักสูตรรายวิชา
ครูผู้พัฒนาก็จะต้องพิจารณาดูว่านอกจากผู้พัฒนาแล้ว ยังจะต้องเกี่ยวข้องกับใครอีกบ้าง
ในอันที่จะทาให้ได้ข้อมูลหรือได้รับการสนับสนุนในด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาการ
ผู้ทางานในสถานประกอบการ ศิษย์เก่าที่ทางานตรงกับความต้องการ ครูผู้สอนในรายวิชาข้างเคียง
เป็นต้น
(2) สถานที่ แม้ว่าจะมีความจาเป็นรองลงมา แต่ก็มีความสำคัญที่จะเอื้ออานวยให้การทางานมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยเช่นกัน
นอกเหนือจากสถานที่ที่จะใช้ในการทางานวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ยังจะต้องพิจารณาถึงสถานที่ที่จะทาการเก็บข้อมูลอีกด้วย
เช่น สถานประกอบการ โรงงาน ห้องสมุด เป็นต้น
(3) วัสดุอุปกรณ์ เป็นสิ่งที่ต้องการและมีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี
วัสดุอุปกรณ์นอกเสียจากจะเป็นพวกเครื่องมือในการจัดทาเอกสารแล้ว ยังจะต้องคำนึงถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ทางโสตทัศนูปกรณ์ที่จะช่วยอานวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลด้วย
(4) งบประมาณ นับว่าเป็นสิ่งจาเป็นที่สุดประการหนึ่ง
การทางาน
ฉะนั้น ในการวางแผนดาเนินการพัฒนาหลักสูตรรายวิชา ก็จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยในเรื่องงบประมาณด้วยว่า
จะต้องใช้มากน้อยแค่ไหน มีหนทางใดบ้างที่จะของบประมาณสนับสนุน หรือมีทางใดบ้างที่จะประหยัดทาให้ค่าใช้จ่ายลดน้อยลง
และ เวลาที่จะต้องใช้ในการทางาน ซึ่งจะรวมตั้งแต่เวลาในการเตรียมการการดาเนินการ
การทดลองใช้ การประเมินผล และการปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรรายวิชา การพิจารณาเวลาที่เหมาะสมจะทาให้การดาเนินงานสู่เป้าหมายรวดเร็วขึ้น
ซึ่งก็หมายถึงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทางานลงได้ด้วย
จึงอาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานที่จะต้องคำนึงถึงในการวางแผนพัฒนาหลักสูตรรายวิชาก็คือ (1) บุคลากร (2) สถานที่
(3) วัสดุอุปกรณ์ (4) งบประมาณ และ (5)
เวลาที่จะต้องใช้ในการดาเนินงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์
อ้างอิง
1.
Romiszowski, A.J. Designing Instructional Systems, New York; Nichols
Publishing, 1981.
2.
Mager, R.F. and Beach, K.M. Developing Vocational Instruction, Belmont;
Fearon Publishing, 1967
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น